เริ่มตั้งแต่ ค.ศ.1000-1350
ช่วงเวลานี้เป็นระยะเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสังคมตะวันตกมี
ประชากรเพิ่มขึ้นคริสต์ศาสนาและระบบฟิวดัลมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
และเริ่มมีพัฒนาการในหลายด้าน
ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งภูมิปัญญา
1.ระยะต้นระบบฟิวดัลเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
- การค้าทางบกเจริญไม่น้อยกว่าทางทะเลมีการตั้งศูนย์การค้าในหัวเมือง
ท้องถิ่นการค้าทางทะเลเริ่มเจริญขึ้นโดนเฉพาะในทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เร-เนียน
สินค้าต่างแดนแพร่เข้ามาในยุโรป
- เกิดชุมชนการค้าและอุตสาหกรรมทำให้ชาวชนบททิ้งนามาค้าขายหรือผลิต
สินค้าหัตถกรรมในเมืองทำให้สังคมขยายตัวเกิดระบบเงินตราใหม่และเกิดสมาคม
อาชีพซึ่งแบ่งเป็นสมาคมพ่อค้าและสมาคมการช่างเมื่อพวกนี้มีฐานะก็ช่วยสนับสนุน
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อกิจการตน
คริสต์ศตวรรษท่ 9-10 พวกอนารยชนจากสแกนดิเนเวีย
ที่เรียกว่าไวกิ้งได้รุกรานจักรวรรดิแฟรงก์
ซึ่งจักรวรรดิไม่มีกำลังพอ
การป้องกันจึงเป็นของขุนนางท้องถิ่นซึ่งรวมผู้คนตามหมู่บ้านมาฝึกอาวุธตั้งกองทหารป้องกัน
ทำให้ขุนนางท้องถิ่นสร้างอิทธิพลของตนเกิดการเมืองหลายศูนย์
อำนาจ ขุนนางเริ่มมีอำนาจ
ระบบฟิวดัลได้พัฒนาเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจสังคมที่สำคัญช่วงคริสต์ศตวรรษที่11-13และเสื่อมใน
คริสต์ศตวรรษที่14และสลายตัวในคริศตวรรษที่ 16
1.ระบบฟิวดัลเสื่อมลงเนื่องจากสงครามครูเสดทำให้ขุนนางไปทำสงครามและ
เสียชีวิต
รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ขุนนางยากจน
2.การค้าทำให้เกิดชนชั้นกลางชนชั้นกลางมีอำนาจแทนที่ขุนนางเนื่องจากสังคมได้
เปลี่ยนค่านิยมจากชาติกำเนิดมาเป็นฐานะทางเศรษฐกิจ
3.เกิดขบวนการนักวิชาการสายมนุษยนิยมที่ศึกษาอารยธรรมกรีกและโรมัน
พยายามแยกกรอบแนวคิดทางศาสนาจากการศึกษา
3.ระยะปลาย
เศรษฐกิจในระยะปลาย
2.ระยะกลาง
ด้านสังคมในระยะกลาง
- ระบบฟิวดัล(feudalism) หรือระบบศักดินา
มีลักษณะเป็นการปกครองส่วนเอกชน (Private Government) หรือการปกครองส่วนภูมิภาค
อำนาจการปกครองไม่ได้อยู่ที่ส่วนกลาง หรือ กษัตริย์
แต่อยู่ตามขุนนางที่กษัตริย์ได้มอบหมายให้
- ความสัมพันธ์ภายใต้ระบบฟิวดัลเป็นระบบอุปถัมภ์
มีที่ดิน (fief) เป็นสิ่งกำหนดฐานะและความสัมพันธ์ของคนในสังคมสังคมศักดินานั้นมีรูปแบบเหมือนกับสามเหลี่ยมปิรามิด
ด้านสังคมในระยะปลาย
บทบาททางเศรษฐกิจของศาสนจักร
ระบบเศรษฐกิจและสังคมยุโรปในสมัยกลาง
ด้านเศรษฐกิจในระยะกลาง
หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย
การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของยุโรปตะวันตกเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการ
อพยพเข้าของอนารยชนและเป็นช่วงที่สร้างอารยธรรมใหม่ซึ่งต่างจากสมัยโบราณซึ่งเรียกช่วงนี้ว่า
สมัยกลางโดยมี 3 ระยะ
ระบบแมนเนอร์ (Manor System)
- การขยายตัวทางเศรษฐกิจยุติในคริสต์ศตวรรษที่
13-14 เนื่องจากเกิดสงครามร้อยปีซึ่งเป็นสงครามของอังกฤษกับฝรั่งเศสและเกิดการแพร่ระบาด
ของกาฬโรคทำให้ประชาชนเสียชีวิต 1
ใน 3 ของประชากรทั้งทวีปทำให้เขตเมืองเสื่อมลง
- หลังคริสต์ศตวรรษที่11 การค้าและอุตสาหกรรมเจริญขึ้นโดยเฉพาะในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ทำให้เกิดชุมชนเมืองอันประกอบด้วยชาวเมืองซึ่งไม่ได้อยู่ในสังคมฟิวดัลแต่เป็นคนรุ่นใหม่
ทำให้ระบบฟิวดัลและขุนนางเสื่อมอำนาจลงแต่พ่อค้ามีอำนาจมากขึ้นเนื่องจากสังคมเริ่มมอง
ฐานะ
ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งเนื่องจากศาสนจักรได้เงินภาษีจาก
ประชาชนและบรรณาการที่ดินที่ชนชั้นปกครอคริสตจักรได้วางรูปแบบ
การบริหารเลียนแบบของจักรวรรดิโรมันทำให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่มี
กฎระเบียบและมีเป้าหมายชัดเจน คือ
- สมัยนี้มีช่วงระยะเวลาระหว่างค.ศ.1350-1500
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ทั้งด้าน
การเมืองเศรษฐกิจและสังคมศาสนาถูกลดบทบาทลงความคิดแบบมนุษยนิยมเริ่มเข้ามามีบทบาทในทัศนคติและความคิดของคนในสังคม
- ปรากฏการณ์ที่สำคัญได้แก่ความเสื่อมของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์ศิทธิ์และเกิด
รัฐชาติในฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน
เริ่มตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกใน
ค.ศ.476 -ค.ศ.1000เป็นสมัยของการก่อรูปของอารยธรรมและสังคมของยุโรปใหม่
ซึ่งเป็นสมัยที่มีความตกต่ำทางการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรมซึ่งนักประวัติศาสตร์เรียกช่วงเวลานี้ว่า
ยุคมืด (Dark Ages)
ชนเผ่าเยอรมันเข้ามาตั้งถิ่นฐานภายในดินแดนแล้วได้เปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็น
เกษตรกรรมใช้ ระบบนาโล่ง
พืชที่ปลูกส่วนใหญ่คือข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์
ส่วนระบบชลประทานขนาดใหญ่ถูกละเลยตั้งแต่ช่วงเวลาสิ้นสุดสมัยโรมันใน
สมัยจักรพรรดิชาร์เลอมาญได้พยายามทำนุบำรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ได้แก่ สร้างสะพาน ขุดคลอง
จัดระบบการพาณิชย์ กำหนดมาตราชั่ง ตวง วัดผลิตเงินตรา
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่9 นี้ได้เกิดระบบฟิวดัล (feudalism)
หรือระบบศักดินาขึ้นระบบนี้ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมและระบบการเมือง
การปกครองของยุโรปสมัยกลางในเวลาต่อมา
- ด้านสังคมของระบบแมนเนอร์
แบ่งประชาชนและผู้อยู่ในแมนเนอร์เป็น
3 กลุ่มใหญ่ๆได้แก่
1. วิลเลนซ์ (Villeins)
2. พวกอิสระชน (Free men)
3. พวกเจ้าหน้าที่และผู้รับใช้ของเจ้านาย
(Officers and servants of the lord)
- ด้านเศรษฐกิจของระบบแมนเนอร์
บทบาททางเศรษฐกิจของแมนเนอร์
คือ
การตอบสนองความต้องการปากท้องชุมชน
โดยการจัดระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ทั้งชุมชนดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการ
ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนผลผลิตกับชุมชนอื่น
- สังคมในช่วงเวลาสมัยกลางตอนต้นมีความวุ่นวายมากขาดระเบียบวินัยและความมั่นคง
สังคมเมืองแทบล่มสลาย ภาวะตกต่ำผู้คนทั่วไปอ่านและเขียนหนังสือไม่ได้
ยกเว้นพระและนักบวช
- คริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมยุโรป
- คริสตจักรเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุด
คริสต์ศาสนิกชนต้องดำเนินชีวิตตามคำสอนอย่างเคร่งครัด หากขัดแย้ง
จะต้องไต่สวนและลงโทษ
- สถาบันคริสต์ศาสนามีประมุขทางศาสนา คือ
สันตะปาปามีหน้าที่กำหนดนโยบายทุกอย่าง
- ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่ง
เนื่องจากศาสนจักรได้เงินภาษีจากประชาชน และบรรณาการที่ดินที่ชนชั้นปกครอง
- ช่วงนี้คริสต์ศาสนาเจริญสูงสุดสันตะปาปาเป็นสถาบันสากลซึ่งเห็นจาก
ชัยชนะที่คริสตจักรที่เหนือจักรพรรดิเป็นผลการครอบงำทางความเชื่อ
กล่าวได้ว่าศาสนามีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของ
ประชาชนภายใต้กฎเกณฑ์และมีอิทธิพลต่อการเมือง
เศรษฐกิจ
และสังคมแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13
ศาสนาเริ่มเสื่อมลง
- เศรษฐกิจแบ่งเป็น2ช่วงเวลา ได้แก่
1.คริสต์ศตวรรษที่ 14 เศรษฐกิจเสื่อมโทรมลงทั้งเกษตกรรม อุตสาหกรรม
การค้าโดยสาเหตุคือสงคราม
และกาฬโรค
2.คริสต์ศตวรรษที่ 15 เศรษฐกิจรุ่งเรืองอีกครั้ง อุตสาหกรรมได้รับการพัฒนา ทางด้านช่างฝีมือ
ทอผ้า
เหมืองแร่
ซึ่งทำให้ระบบฟิวดัลเสื่อมลง
- ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษความเจริญทางด้านการเดินเรือทำให้ค้นพบดินแดนใหม่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและ
เป็นแหล่งวัตถุดิบ ทำให้เกิดการอพยพไปยึดครอง
ทำให้นายทุนร่ำรวย
พวกนายทุนได้สนับสนุนกษัตริย์เพื่อคุ้มครองกิจการของตน
ขณะที่ขุนนางต้องอ่อนน้อมต่อกษัตริย์และนายทุน
ขุนนางต้องขายที่ให้ชนชั้นอื่นจึงเริ่มมีการลงทุนในที่ดินด้านเกษตกรรม
ทำให้ระบบฟิวดัลยุติลงในคริสต์ศตวรรษ
ที่ 16
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น